inbound-marketing-strategy

กลยุทธ์การทำตลาดแบบ Inbound Marketing ทำแล้วลูกค้าเพิ่ม!

ต้องยอมรับว่า Inbound Marketing เป็นการทำตลาดที่ได้รับความนิยมสูง เพราะด้วยวิธีการใช้ที่เน้นไปที่การดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาหาแบรนด์เองผ่านการทำคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งทำได้ง่ายกว่า แถมยังไม่ต้องลงทุนมากหากเทียบกับ Outbound Marketing แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการใช้ Inbound ทุกครั้งจะได้ผล เพราะถ้าแบรนด์ยังไม่รู้จักเคล็ดลับที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพก็อาจจะทำให้แบรนด์ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่หวังเอาไว้ ในบทความนี้ เราจะไปดูกันว่ามีกลยุทธ์อะไรบ้างที่จะมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แบรนด์ทำ Inbound Marketing ได้

กลยุทธ์การทำตลาดแบบ Inbound Marketing

1.รู้ว่าลูกค้าใช้สื่อช่องทางไหน

คงไม่ผิดหากบอกว่าการทำ Inbound Marketing ถือเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน เพราะทุกแบรนด์สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง และสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ แต่คอนเทนต์ที่ทำไปจะได้ผลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์ลงคอนเทนต์ในช่องทางเดียวกับที่ลูกค้าใช้หรือไม่ 

ยกตัวอย่างเช่น หากกลุ่มเป้าหมายคือคนวัยทำงานหรือคนส่วนใหญ่ แบรนด์อาจจะเลือกโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, YouTube และการทำ SEO เว็บไซต์ ให้ลูกค้าเข้าไปเจอแบรนด์ของเรา แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กไปจนถึงวัยรุ่นที่ชอบการแชร์กิจวัตรของตัวเองและเสพคอนเทนต์ที่เข้าใจง่าย แบรนด์ก็ต้องเลือกใช้ Instagram และ TikTok เป็นช่องทางในการลงคอนเทนต์ เพราะลูกค้าทุกกลุ่มมีช่องทางหลักของตัวเอง หากเรารู้และลงคอนเทนต์ถูกช่องทางก็จะช่วยให้แบรนด์ได้ลูกค้าที่ต้องการ 

2.ใช้ Content ดึงคนตามหลัก Inbound Marketing

หัวใจหลักของการทำ Inbound Marketing คือการดึงลูกค้าให้เข้ามาหาแบรนด์ [อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการ Inbound Marketing] และสิ่งที่จะดึงลูกค้าเข้ามาได้ก็คือคอนเทนต์ ดังนั้น ไม่ว่าแบรนด์จะทำคอนเทนต์ในรูปแบบไหน สิ่งสำคัญเลยก็คือคอนเทนต์จะต้องมีคุณภาพมากพอที่จะดึงกลุ่มเป้าหมายให้มาสนใจแบรนด์ หากแบรนด์สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองได้ก็จะช่วยให้ลูกค้าอยากติดตามคอนเทนต์จากแบรนด์ต่อไป ซึ่งการทำคอนเทนต์แต่ละแบบจะมีรายละเอียดที่เราต้องให้ความสำคัญต่างกัน ยกตัวอย่างคอนเทนต์ประเภท Blog Post, Video และ Infographic ดังนี้

    • Blog Post เป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแบบหนึ่งของ Inbound Marketing และยังสามารถนำไปใช้งานร่วมกับคอนเทนต์ประเภทอื่นได้ โดยแบรนด์ต้องให้ความสำคัญในเรื่ององค์ประกอบของบทความ ซึ่งจะต้องมีทั้งชื่อบทความ ส่วนนำ ส่วนเนื้อหา ส่วนสรุป มีการเรียงลำดับเนื้อหาถูกต้อง ไปจนถึงองค์ประกอบรองอย่างความยาวและการใช้คำ เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาของบทความ อีกทั้งยังเป็นการบ่งบอกถึงรูปแบบการเขียน Blog ของแบรนด์ และที่สำคัญคือการตรวจคำถูกผิด ซึ่งจะมีผลต่อคุณภาพบทความและความน่าเชื่อถือ
    • Video เป็นคอนเทนต์ที่ช่วยสร้างความสนใจให้คนดูได้มากที่สุดและเสพง่าย ยิ่งในปัจจุบัน เราสามารถถ่ายและตัดต่อคลิปง่ายๆ ด้วยมือถือเครื่องเดียว ก็ยิ่งทำให้ Video เป็นรูปแบบคอนเทนต์ของ Inbound Marketing ที่หลายแบรนด์เลือกใช้ ถ้าแบรนด์อยากใช้ Video ดึงดูดลูกค้า นอกจากเนื้อหาแล้วก็ต้องไม่ลืมเช็คองค์ประกอบให้ดี ทั้งความชัดของภาพ ความดังของเสียง จังหวะการพูด การใช้กราฟิกประกอบ ไปจนถึงการตัดต่อ ซึ่งจะช่วยเสริมให้คลิปมีความน่าสนใจมากขึ้น และดึงดูดให้คนอยากดูคลิปต่อ
    • Infographic เป็นคอนเทนต์ที่มีเป้าหมายหลักในการสื่อสารข้อมูลของเรื่องต่างๆ ที่มีราละเอียดมาก มีความซับซ้อน ให้ออกมาเป็นกราฟิกที่เข้าใจง่าย และยังสามารถนำไปใช้ควบคู่กับบทความให้คนดูเลือกอ่านได้ โดยข้อมูลที่อยู่ใน Infographic จะต้องมีเฉพาะข้อมูลสำคัญที่ผ่านการสรุปมาแล้ว ซึ่งมีได้ทั้งข้อความ ตัวอักษร ตัวเลข และภาพมาใส่ แล้วใช้สี รูปทรง และไอคอน เข้ามาตกแต่งให้มีสีสรรคจะช่วยให้น่าดูมากขึ้น

3. ทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ

การทำ SEO เพื่อที่จะให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Search Engine ยังเป็นกลยุทธ์การทำตลาดแบบ Inbound Marketing ที่จะช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ โดยแบรนด์จะต้องสร้างคอนเทนต์ตามหลัก SEO ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทำ Keyword Research เลือก Keyword เกี่ยวกับสินค้าที่มีคนค้นหาเยอะมาใช้ทำคอนเทนต์ จะช่วยให้เว็บมีโอกาสถูกค้นหาเจอสูง หรือจะเป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ให้น่าใช้เพื่อให้ผู้ใช้อยู่ในเว็บนาน และการอัปเดตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีคอนเทนต์ติดตามตลอด พออ่านคอนเทนต์นึงจบก็มีคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องให้อ่านต่อ เพราะเมื่อผู้ใช้รู้แล้วว่าแบรนด์นำเสนอคอนเทนต์อะไร ก็จะช่วยให้เว็บไซต์มีผู้ใช้งานประจำที่พร้อมติดตามคอนเทนต์ และส่งให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหา

4.ทำ Inbound Marketing ด้วย Brand Activation  

โจทย์ใหญ่ของแบรนด์คือจะทำยังไงให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ได้มากที่สุด คำตอบก็คือการใช้เทคนิค Brand Activation หรือการสร้างการมีส่วนร่วมให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การทำตลาดแบบ Inbound Marketing ที่จะช่วยให้ลูกค้าได้ใกล้ชิดกับแบรนด์มากที่สุด และยังสามารถทำได้หลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น

    • Pop-Up Store คือการตั้ง Pop-Up Store ให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมกับสิ่งที่แบรนด์อยากมอบให้ โดยการสร้างประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้า เช่น การทำกิจกรรมเพื่อลุ้นรับของรางวัล หรือการออกแบบหน้าร้านและตกแต่งบรรยากาศภายในของร้านให้ต่างไปจากเดิม
    • Product Sampling คือการให้ลูกค้าใช้สินค้าฟรีในเวลาที่จำกัด ซึ่งเป็นการทำ Brand Activation ที่เราพบได้บ่อย และยังเป็นการวัดเลยว่าลูกค้าชอบสินค้าหรือไม่ เพราะลูกค้าได้ทดลองใช้ด้วยตัวเอง ซึ่งตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดในแบรนด์ที่ทำธุรกิจเทคโนโลยี อย่างบริการ Streaming ที่จะให้สิทธิ์ลูกค้าที่เปิดบัญชีใหม่ทดลองใช้งานฟรี 1 เดือน
  • Influencer Marketing ถือเป็นการตลาดที่แบรนด์จะใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ มาช่วยในการโฆษณาสินค้า โดยคนที่เป็น Influencer จะรับสินค้ามาใช้ และทำคอนเทนต์รีวิวที่มีการอธิบายวิธีการใช้และประโยชน์ที่ได้รับลงโซเชียลมีเดียของตัวเอง เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่ติดตามอยู่ได้เห็นตัวอย่างการใช้งาน ช่วยดึงลูกค้าที่สนใจเข้าไปหาแบรนด์เองได้

5.ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล

ข้อดีของ Inbound Marketing คือการมีเครื่องมือหลายตัวที่จะเข้ามาช่วยให้แบรนด์สามารถทำคอนเทนต์ดึงดูดลูกค้าได้ ตั้งแต่ก่อนเริ่มทำคอนเทนต์ไปจนถึงการติดตามผลและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้แบรนด์รู้เลยว่าคอนเทนต์ที่เผยแพร่ได้ผลตามที่คาดหวังเอาไว้หรือไม่ ยกตัวอย่างเครื่องมือที่แบรนด์นำมาใช้วัดคือ Google Analytics ที่เราใช้การวิเคราะห์ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ การดูวิดีโอ และโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะมีตัวชี้วัด 3 ตัว ได้แก่

  • Website Traffic คือ จำนวนการเข้าถึงเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม และจำนวนการเข้าชม
  • Reach คือ จำนวนคนที่เห็นคอนเทนต์ของเรา โดยคนที่เห็น 1 คน จะเท่ากับ 1 Reach
  • View คือ จำนวนครั้งที่ผู้ใช้ดู Video จนครบระยะเวลาที่กำหนดจะมีการนับยอด

หากเป็นคอนเทนต์บน Social Media แบรนด์ก็ต้องดูปริมาณ Engagement อย่างยอด Like, ยอด Share และจำนวน Comment ว่าโพสต์ไหนมียอดสูงและผู้ใช้มีความคิดเห็นอย่างไร

 

สรุป

สรุปแล้ว ทั้ง 5 ข้อนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่แบรนด์ควรนำไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Inbound Marketing ซึ่งแตกต่างจาก Outbound Marketing อย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือที่จะทำให้แบรนด์ทำสำเร็จก็คงหนีไม่พ้นการสร้างคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง เพราะอย่าลืมว่าทุกแบรนด์สามารถทำคอนเทนต์ดึงลูกค้าได้เช่นกัน ดังนั้น แบรนด์ที่มีการวางแผน Inbound Marketing ได้ดีกว่า ก็จะดึงดูดลูกค้าได้มากกว่าอีกด้วย

แหล่งอ้างอิง

1 2 3

อยากทำเว็บไซต์ธุรกิจที่ช่วยสร้างยอดขายได้จริง ปรึกษา WOW ฟรีที่นี่

รับบทความใหม่ ไปอ่านก่อนใครไหม?

ทำธุรกิจออนไลน์ด้วยความรู้อัปเดต เข้าใจง่าย ได้ยอดขายดีจริงๆ กันดีกว่า!

บทความน่าอ่านในหมวดเดียวกัน

outbound-inbound-marketing-difference
Marketing

เปรียบเทียบความแตกต่าง Outbound กับ Inbound Marketing

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาดที่เคยทำการตลาดด้วยวิธีใดก็ตาม เชื่อว่าต้องเคยทำการตลาดด้วยวิธีที่เรียกว่า Outbound Marketing และ Inbound Marketing มาแล้ว ซึ่งการทำการตลาดทั้งสองวิธีนี้แม้จะมีเป้าหมายเดียวกันคือการทำให้ลูกค้ารู้จักทั้งแบรนด์และสินค้า แต่กลับมีวิธีการที่แตกต่างกันและยังส่งผลถึงลูกค้าไม่เหมือนกันอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะไปดูกันว่า Outbound Marketing และ Inbound Marketing คืออะไร และมีความแตกต่างกันตรงไหน  Outbound Marketing คืออะไร เราจะเริ่มกันที่ Outbound Marketing

what-is-inbound-marketing
Marketing

รู้จัก Inbound Marketing พร้อมเทคนิคการใช้ให้ได้ผล ดึงลูกค้าได้อยู่หมัด

ทุกบริษัทอยากให้มีลูกค้าเข้าไปดูสินค้าได้อย่างต่อเนื่องทั้งที่ไม่ได้มีสินค้าใหม่หรือโฆษณาอะไร เพราะถ้าทำได้ก็จะช่วยให้แบรนด์เติบโตในระยะยาว ลูกค้ารู้จักทั้งแบรนด์และสินค้า และหนึ่งในเทคนิคการตลาดที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถดึงดูดลูกค้าก็คือ Inbound Marketing แล้ว Inbound Marketing คืออะไร และจะช่วยให้เราดึงลูกค้าได้อย่างไร เราไปทำความรู้จักกันเลย Inbound Marketing คืออะไร Inbound Marketing คือการทำตลาดที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาหาแบรนด์ ผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและมีประโยชน์จนลูกค้าเกิดความสนใจและติดตามแบรนด์ ทำให้แบรนด์กลายเป็นตัวเลือกในการใช้บริการของกลุ่มเป้าหมาย วิธีการนี้แตกต่างจาก Outbound Marketing แบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง หากคุณอยากทราบว่าทั้งสองวิธีแตกต่างกันอย่างไรและควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจ