การสร้างโปรแกรม Onboarding สมบูรณ์ ขั้นตอน ตัวอย่าง และเทมเพลต

ขั้นตอนการสร้างโปรแกรม Onboarding ที่ประสบความสำเร็จ

การ Onboarding พนักงานใหม่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว กระบวนการ Onboarding ที่ออกแบบมาอย่างดีไม่เพียงช่วยให้พนักงานใหม่เรียนรู้งานได้เร็วขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มอัตราการรักษาพนักงาน สร้างความผูกพันต่อองค์กร และส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งแกร่ง

บทความนี้จะแนะนำ ขั้นตอนสำคัญในการสร้างโปรแกรม Onboarding ที่ประสบความสำเร็จ พร้อมตัวอย่าง Onboarding Program ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Onboarding คืออะไร: ความหมายและความสำคัญที่องค์กรควรทราบ และ Onboarding และ Orientation ความแตกต่างระหว่าง

ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์ความต้องการและกำหนดวัตถุประสงค์

ก่อนเริ่มออกแบบโปรแกรม Onboarding คุณต้องทำความเข้าใจความต้องการขององค์กรและพนักงานใหม่อย่างชัดเจน

สิ่งที่ต้องทำ

  • วิเคราะห์ช่องว่างในกระบวนการ Onboarding ปัจจุบัน
  • กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและวัดผลได้
  • ระบุ KPI สำหรับวัดความสำเร็จของโปรแกรม
  • รวบรวมข้อมูลจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้จัดการ พนักงานที่เข้าร่วมโปรแกรม Onboarding ก่อนหน้า และฝ่าย HR

ตัวอย่างวัตถุประสงค์ของโปรแกรม Onboarding

  • ลดระยะเวลาในการเรียนรู้งานจาก 6 เดือนเหลือ 3 เดือน
  • เพิ่มอัตราการรักษาพนักงานใหม่ในปีแรกจาก 70% เป็น 85%
  • เพิ่มคะแนนความผูกพันของพนักงานใหม่ให้สูงกว่า 80%
  • ลดเวลาที่ใช้ในกระบวนการ Onboarding ของฝ่าย HR ลง 30%

ขั้นตอนที่ 2: ออกแบบโครงสร้างและกำหนดไทม์ไลน์

หลังจากกำหนดวัตถุประสงค์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออกแบบโครงสร้างและไทม์ไลน์ของโปรแกรม Onboarding

สิ่งที่ต้องทำ

  • กำหนดช่วงเวลาของโปรแกรม Onboarding (90 วัน, 6 เดือน หรือ 1 ปี)
  • แบ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น ก่อนวันแรก, วันแรก, สัปดาห์แรก, เดือนแรก, 90 วัน
  • ระบุกิจกรรมและผู้รับผิดชอบในแต่ละช่วง
  • สร้างไทม์ไลน์ที่ยืดหยุ่นและปรับให้เหมาะกับตำแหน่งงานต่างๆ

ตัวอย่างไทม์ไลน์ Onboarding

ช่วงเวลากิจกรรมหลักผู้รับผิดชอบ
ก่อนวันแรกส่งเอกสารต้อนรับ, เตรียมอุปกรณ์, ตั้งค่าระบบHR, IT
วันแรกปฐมนิเทศ, แนะนำทีม, สอนระบบพื้นฐานHR, ผู้จัดการ
สัปดาห์ 1ฝึกอบรมพื้นฐาน, พบพี่เลี้ยง, กำหนดเป้าหมายระยะสั้นผู้จัดการ, พี่เลี้ยง
สัปดาห์ 2-4ฝึกอบรมเฉพาะตำแหน่ง, เริ่มงานจริง, ติดตามผลรายสัปดาห์ผู้จัดการ, พี่เลี้ยง
เดือน 2-3ประเมินผล 90 วัน, ปรับแผนพัฒนา, ขยายเครือข่ายผู้จัดการ, HR
เดือน 4-6เพิ่มความรับผิดชอบ, พัฒนาทักษะเพิ่มเติมผู้จัดการ
เดือน 7-12ประเมินประจำปี, วางแผนเส้นทางอาชีพผู้จัดการ, HR

 

ขั้นตอนที่ 3: พัฒนาเนื้อหาและเอกสารที่จำเป็น

เนื้อหาและเอกสารที่ดีเป็นส่วนสำคัญของโปรแกรม Onboarding ที่มีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ต้องทำ

  • สร้างคู่มือพนักงานที่เข้าใจง่ายและทันสมัย
  • พัฒนาชุดการฝึกอบรมสำหรับทักษะพื้นฐานและเฉพาะตำแหน่ง
  • จัดทำ checklist สำหรับพนักงานใหม่และผู้จัดการ
  • ออกแบบแบบฟอร์มต่างๆ ที่จำเป็น เช่น แบบประเมิน แบบติดตามความก้าวหน้า

ตัวอย่าง Onboarding Checklist สำหรับพนักงานใหม่:

ก่อนวันแรก

[ ] กรอกเอกสารการจ้างงานและข้อมูลส่วนบุคคล

[ ] อ่านและทำความเข้าใจคู่มือพนักงาน

[ ] เตรียมเอกสารสำหรับการลงทะเบียนผลประโยชน์

วันแรก

[ ] เข้าร่วมการปฐมนิเทศ

[ ] รับอุปกรณ์และบัญชีผู้ใช้

[ ] พบผู้จัดการและทีมงาน

[ ] ทำความคุ้นเคยกับสถานที่ทำงาน

สัปดาห์แรก

[ ] เรียนรู้ระบบและเครื่องมือพื้นฐาน

[ ] พบพี่เลี้ยงและวางแผนการเรียนรู้

[ ] เข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบ

30 วันแรก:

[ ] เรียนรู้ทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับตำแหน่ง

[ ] มีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์แรก

[ ] สร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมงานต่างแผนก


Onboarding - LMS


ขั้นตอนที่ 4: เลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือที่เหมาะสม

เทคโนโลยีและเครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของโปรแกรม Onboarding

สิ่งที่ต้องทำ

  • เลือกระบบ LMS ที่เหมาะกับความต้องการขององค์กร
  • นำเครื่องมือการสื่อสารและการทำงานร่วมกันมาใช้
  • บูรณาการกับระบบ HR และระบบอื่นๆ ที่มีอยู่
  • จัดเตรียมคู่มือการใช้งานระบบสำหรับพนักงานใหม่

ตัวอย่างการใช้ LMS ในโปรแกรม Onboarding:

  • หลักสูตรเรียนรู้ด้วยตนเอง – สร้างหลักสูตรออนไลน์ที่พนักงานสามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตนเอง
  • การติดตามความก้าวหน้า – ใช้ระบบติดตามความก้าวหน้าเพื่อดูว่าพนักงานได้เรียนรู้อะไรไปแล้วบ้าง
  • การประเมินอัตโนมัติ – สร้างแบบทดสอบและการประเมินเพื่อวัดความเข้าใจ
  • ฟอรัมและชุมชน – สร้างพื้นที่สำหรับพนักงานใหม่ในการถามคำถามและแลกเปลี่ยนประสบการณ์
  • ห้องสมุดความรู้ – รวบรวมเอกสาร วิดีโอ และทรัพยากรที่จำเป็นไว้ในที่เดียว

ขั้นตอนที่ 5: กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบ

การกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนช่วยให้มั่นใจว่าทุกส่วนของโปรแกรม Onboarding จะดำเนินไปอย่างราบรื่น

สิ่งที่ต้องทำ

  • ระบุผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในกระบวนการ Onboarding
  • กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย
  • สร้างระบบการติดตามและการสื่อสารระหว่างผู้เกี่ยวข้อง
  • จัดตั้งระบบพี่เลี้ยงหรือโค้ช

ตัวอย่าง Role Matrix ในโปรแกรม Onboarding:

บทบาทความรับผิดชอบหลักระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง
HRดูแลภาพรวมของกระบวนการ, จัดการเอกสาร, จัดปฐมนิเทศตลอดกระบวนการ
ผู้จัดการกำหนดเป้าหมาย, ติดตามความก้าวหน้า, ให้ข้อมูลย้อนกลับตลอดกระบวนการ
พี่เลี้ยง (Buddy)สนับสนุนรายวัน, ตอบคำถาม, แนะนำวัฒนธรรมองค์กร1-3 เดือนแรก
ITเตรียมอุปกรณ์, ตั้งค่าระบบ, สอนการใช้เทคโนโลยีวันแรกและตามความจำเป็น
เพื่อนร่วมทีมสนับสนุนการทำงาน, แบ่งปันความรู้ตลอดกระบวนการ
พนักงานใหม่เรียนรู้อย่างกระตือรือร้น, ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็นตลอดกระบวนการ

ขั้นตอนที่ 6: ดำเนินการและปรับแต่งตามความเหมาะสม

หลังจากวางแผนและเตรียมความพร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำโปรแกรม Onboarding ไปใช้จริง

สิ่งที่ต้องทำ

  • เริ่มใช้โปรแกรมกับพนักงานใหม่กลุ่มเล็กก่อน (Pilot Program)
  • รวบรวมข้อเสนอแนะจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
  • ปรับแต่งโปรแกรมตามข้อเสนอแนะและข้อสังเกต
  • ฝึกอบรมผู้เกี่ยวข้องให้เข้าใจบทบาทและกระบวนการ

ตัวอย่างแผนการดำเนินการสำหรับการเริ่มใช้โปรแกรม Onboarding

Phase 1: Pilot (1-2 เดือน)

    • ทดลองใช้กับพนักงานใหม่ 5-10 คน
    • รวบรวมข้อเสนอแนะผ่านการสัมภาษณ์และแบบสอบถาม
    • วิเคราะห์ผลและปรับปรุงโปรแกรม

Phase 2: Rollout (3-4 เดือน)

    • ขยายการใช้งานไปยังทุกแผนกในองค์กร
    • จัดการฝึกอบรมสำหรับผู้จัดการและพี่เลี้ยง
    • ติดตามและแก้ไขปัญหาที่พบ

Phase 3: Optimization (ต่อเนื่อง)

    • ติดตามและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ
    • ปรับปรุงเนื้อหาและกระบวนการตามข้อมูลที่ได้รับ
    • ทบทวนและปรับปรุงโปรแกรมทุกไตรมาส

ขั้นตอนที่ 7: วัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

การวัดผลและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวของโปรแกรม Onboarding

สิ่งที่ต้องทำ

  • กำหนดและติดตาม KPI ที่สำคัญ
  • เก็บข้อมูลย้อนกลับจากพนักงานใหม่และผู้เกี่ยวข้อง
  • วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุจุดแข็งและโอกาสในการปรับปรุง
  • ปรับปรุงโปรแกรมอย่างต่อเนื่องตามผลการวิเคราะห์

ตัวอย่าง KPI สำหรับวัดความสำเร็จของโปรแกรม Onboarding:

KPIวิธีวัดเป้าหมาย
อัตราการรักษาพนักงานในปีแรก% ของพนักงานที่ยังคงอยู่หลังจาก 1 ปี> 85%
ระยะเวลาในการเรียนรู้งานจำนวนวันจนถึงวันที่พนักงานทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ< 90 วัน
ความพึงพอใจของพนักงานใหม่คะแนนจากแบบสำรวจ> 4.2/5
การเข้าร่วมกิจกรรม Onboarding% ของกิจกรรมที่พนักงานเข้าร่วม> 90%
อัตราการทำ Onboarding checklist% ของรายการที่ทำเสร็จตามกำหนด> 95%
ความพึงพอใจของผู้จัดการคะแนนจากแบบสำรวจผู้จัดการ> 4.0/5

 



ตัวอย่าง Onboarding Program จากในอุตสาหกรรมต่างๆ

เรามาดูตัวอย่าง Onboarding program จากองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้

1. บริษัทเทคโนโลยี

โครงสร้างโปรแกรม

  • ก่อนวันแรก: ส่งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไปที่บ้าน พร้อมคู่มือการตั้งค่าเบื้องต้น
  • สัปดาห์แรก: Bootcamp เข้มข้น 5 วัน เรียนรู้วัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีหลัก
  • เดือนแรก: โปรเจ็กต์เล็กๆ ที่ได้ผลลัพธ์เร็ว (Quick Win) เพื่อสร้างความมั่นใจ
  • 90 วัน: การนำเสนอโปรเจ็กต์แรกต่อทีมและผู้บริหาร
  • หลัง 6 เดือน: การมอบหมายโปรเจ็กต์หลักและความรับผิดชอบเต็มรูปแบบ

จุดเด่น: เน้นการเรียนรู้แบบปฏิบัติจริง มีระบบพี่เลี้ยงที่เข้มแข็ง และใช้เทคโนโลยีในการติดตามความก้าวหน้า

2. องค์กรด้านการเงิน

โครงสร้างโปรแกรม

  • ก่อนวันแรก: ส่ง Welcome Pack และหลักสูตรออนไลน์เกี่ยวกับกฎระเบียบพื้นฐาน
  • สัปดาห์แรก: Orientation เข้มข้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบและความปลอดภัยข้อมูล
  • เดือนแรก: การฝึกอบรมเฉพาะตำแหน่งและการเรียนรู้ระบบที่เกี่ยวข้อง
  • 90 วัน: การประเมินความรู้และทักษะโดยละเอียด และการวางแผนพัฒนา
  • หลัง 6 เดือน: การกำหนดเป้าหมายระยะยาวและเส้นทางอาชีพ

จุดเด่น: โครงสร้างที่ชัดเจน การฝึกอบรมที่ครอบคลุม และการติดตามประเมินผลที่เข้มงวด

3. บริษัทค้าปลีก

โครงสร้างโปรแกรม

  • ก่อนวันแรก: ส่งวิดีโอแนะนำวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมหลัก
  • วันแรก: Orientation สั้นๆ ตามด้วยการสังเกตการณ์ในสถานที่จริง
  • สัปดาห์แรก: การฝึกอบรมแบบคู่กับพนักงานที่มีประสบการณ์
  • เดือนแรก: การหมุนเวียนเรียนรู้งานในแผนกต่างๆ
  • 90 วัน: การประเมินผลและการมอบหมายความรับผิดชอบเต็มรูปแบบ

จุดเด่น: เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง การสร้างความสัมพันธ์ และความเข้าใจในธุรกิจแบบองค์รวม

ตัวอย่างเทมเพลต Onboarding Checklist

สำหรับฝ่าย HRสำหรับผู้จัดการสำหรับพี่เลี้ยง (Buddy)สำหรับพนักงานใหม่
จัดเตรียมเอกสารการจ้างงานทั้งหมดกำหนดเป้าหมาย 30-60-90 วันพาเยี่ยมชมสถานที่ทำงานศึกษาข้อมูลขององค์กรและทีมล่วงหน้า
จัดเตรียมแพ็คเกจต้อนรับเตรียมพื้นที่ทำงานและทรัพยากรที่จำเป็นแนะนำพนักงานใหม่กับทีมและแผนกอื่นๆเตรียมเอกสารส่วนตัวที่จำเป็น
แจ้งทีมที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการมาถึงของพนักงานใหม่แจ้งทีมเกี่ยวกับบทบาทและความรับผิดชอบของพนักงานใหม่ช่วยเหลือในการตั้งค่าอุปกรณ์และระบบต่างๆทำความเข้าใจเป้าหมายและความคาดหวังในช่วง 30-60-90 วัน
จัดตารางการปฐมนิเทศและการฝึกอบรมจัดตารางประชุมรายสัปดาห์ในช่วง 90 วันแรกรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันในสัปดาห์แรกจดบันทึกคำถามและข้อสงสัย
ตั้งค่าบัญชีผู้ใช้ในระบบ HRจัดเตรียมโปรเจ็กต์เริ่มต้นที่เหมาะสมตอบคำถามและให้คำแนะนำในชีวิตประจำวันสร้างความสัมพันธ์กับทีมและพี่เลี้ยง
มอบหมายพี่เลี้ยงสร้างแผนการเรียนรู้และพัฒนาเบื้องต้นติดตามความก้าวหน้าและรายงานปัญหาให้ผู้จัดการทราบขอข้อเสนอแนะอย่างสม่ำเสมอ
 กำหนดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักที่พนักงานควรรู้จัก

 

ตัวอย่างแบบฟอร์ม Onboarding ที่สำคัญ

นอกจาก checklist แล้ว องค์กรควรมีแบบฟอร์มต่างๆ เพื่อสนับสนุนกระบวนการ Onboarding ดังนี้

1. แบบฟอร์มประเมินความพร้อมก่อนวันแรก

ใช้สำหรับตรวจสอบความพร้อมขององค์กรก่อนที่พนักงานใหม่จะเริ่มงาน ประกอบด้วย

  • ความพร้อมด้านเอกสารและกระบวนการ HR
  • ความพร้อมด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี
  • ความพร้อมด้านการสื่อสารและการฝึกอบรม
  • ความพร้อมด้านพื้นที่ทำงานและทรัพยากร

2. แบบฟอร์มแผนการพัฒนา 30-60-90 วัน

ใช้สำหรับกำหนดเป้าหมายและความคาดหวังในช่วง 90 วันแรก ประกอบด้วย

  • เป้าหมายการเรียนรู้ในแต่ละช่วง
  • ทักษะที่ต้องพัฒนา
  • โปรเจ็กต์และงานที่ได้รับมอบหมาย
  • การวัดความสำเร็จและเกณฑ์การประเมิน

3. แบบฟอร์มประเมินประสบการณ์ Onboarding

ใช้สำหรับรวบรวมความคิดเห็นจากพนักงานใหม่เกี่ยวกับกระบวนการ Onboarding ประกอบด้วย

  • คุณภาพของข้อมูลและการสื่อสารก่อนวันแรก
  • ประสบการณ์ในวันแรกและสัปดาห์แรก
  • ประสิทธิภาพของการฝึกอบรมและทรัพยากรที่ได้รับ
  • การสนับสนุนจากผู้จัดการและพี่เลี้ยง
  • ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุง

4. แบบฟอร์มติดตามความก้าวหน้ารายสัปดาห์

ใช้สำหรับติดตามความก้าวหน้าของพนักงานใหม่ในแต่ละสัปดาห์ ประกอบด้วย

  • สิ่งที่ได้เรียนรู้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
  • ความสำเร็จและความท้าทาย
  • คำถามและข้อสงสัย
  • แผนสำหรับสัปดาห์ถัดไป
  • ทรัพยากรหรือการสนับสนุนที่ต้องการ


เทคนิคสำคัญในการสร้างโปรแกรม Onboarding ที่ประสบความสำเร็จ

นอกเหนือจาก 7 ขั้นตอนหลักแล้ว นี่คือเทคนิคเพิ่มเติมที่จะช่วยให้โปรแกรม Onboarding ของคุณประสบความสำเร็จ

1. สร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว

ปรับโปรแกรม Onboarding ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงตำแหน่งงาน ประสบการณ์ และรูปแบบการเรียนรู้ของพนักงานใหม่

2. เน้นวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยม

ทำให้พนักงานใหม่เข้าใจและซึมซับวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมตั้งแต่เริ่มต้น ผ่านเรื่องเล่า กิจกรรม และการมีส่วนร่วม

3. สร้างความสมดุลระหว่างเนื้อหาและกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์

โปรแกรม Onboarding ที่ดีต้องมีความสมดุลระหว่างการให้ความรู้และข้อมูล กับการสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันกับทีม

4. ใช้วิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย

รวมวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การเรียนในห้องเรียน การเรียนรู้ออนไลน์ การลงมือปฏิบัติ และการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง

5. ขยายกระบวนการออกไปนานกว่าที่คิด

อย่าจบกระบวนการ Onboarding เร็วเกินไป การ Onboarding ที่มีประสิทธิภาพควรครอบคลุมอย่างน้อย 90 วัน และอาจยาวถึง 1 ปีสำหรับตำแหน่งที่ซับซ้อน

แนวโน้มการทำ Onboarding ในปี 2025

ติดตามแนวโน้มล่าสุดเพื่อพัฒนาโปรแกรม Onboarding ของคุณให้ทันสมัยอยู่เสมอ

  1. การใช้ AI ในการปรับแต่งประสบการณ์ – AI จะช่วยวิเคราะห์ความต้องการและปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
  2. การใช้ VR/AR ในการฝึกอบรม – เทคโนโลยีเสมือนจริงจะช่วยสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมจริงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. การ Onboarding แบบไฮบริด – รูปแบบผสมผสานระหว่างการ Onboarding แบบออนไลน์และออฟไลน์จะเป็นมาตรฐานใหม่
  4. การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง – องค์กรจะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้นเพื่อวัดประสิทธิภาพและปรับปรุงโปรแกรม Onboarding
  5. การ Onboarding ต่อเนื่อง – การ Onboarding จะไม่จำกัดอยู่แค่พนักงานใหม่ แต่จะรวมถึงการโอนย้ายตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง และการเปลี่ยนแปลงองค์กร

สรุป

การสร้างโปรแกรม Onboarding ที่มีประสิทธิภาพเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับองค์กรทุกขนาด โดยการทำตาม 7 ขั้นตอนที่เราแนะนำ คุณสามารถพัฒนาโปรแกรม Onboarding ที่:

  • ช่วยให้พนักงานใหม่ปรับตัวและเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
  • เพิ่มอัตราการรักษาพนักงานและความผูกพันต่อองค์กร
  • สร้างประสบการณ์ที่ดีและประทับใจแก่พนักงานใหม่
  • ลดต้นทุนและเวลาในการฝึกอบรม
  • สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง

อย่าลืมว่าการ Onboarding ไม่ใช่กิจกรรมครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอยู่เสมอ ด้วยการวัดผล รวบรวมข้อเสนอแนะ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง คุณจะสามารถสร้างโปรแกรม Onboarding ที่ประสบความสำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อทั้งพนักงานและองค์กรในระยะยาว

 

อยากทำเว็บไซต์ธุรกิจที่ช่วยสร้างยอดขายได้จริง ปรึกษา WOW ฟรีที่นี่

รับบทความใหม่ ไปอ่านก่อนใครไหม?

ทำธุรกิจออนไลน์ด้วยความรู้อัปเดต เข้าใจง่าย ได้ยอดขายดีจริงๆ กันดีกว่า!

บทความน่าอ่านในหมวดเดียวกัน

Uncategorized

LMS กับกระบวนการ Onboarding

ทุกวันนี้เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในทุกด้านของการทำงาน กระบวนการ Onboarding ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น องค์กรที่ต้องการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานใหม่ พร้อมทั้งลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ กำลังหันมาใช้เทคโนโลยี Learning Management System (LMS) เพื่อยกระดับกระบวนการ Onboarding ให้ตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัล บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่าระบบ LMS สามารถปฏิวัติวิธีการ Onboarding ในองค์กรของคุณได้อย่างไร พร้อมแนวทางการเลือกและใช้งานระบบที่เหมาะสมกับองค์กร เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Onboarding คืออะไร ความหมายและความสำคัญที่องค์กรควรทราบ และ

Uncategorized

Onboarding และ Orientation ความแตกต่างและความสำคัญ

“Onboarding” และ “Orientation” มักถูกใช้สลับกันไปมาจนทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองคำมีความหมายและขอบเขตที่แตกต่างกัน บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Onboarding และ Orientation รวมถึงบทบาทที่แตกต่างกันแต่เติมเต็มซึ่งกันและกันในการต้อนรับพนักงานใหม่สู่องค์กร Orientation คืออะไร? Orientation หรือการปฐมนิเทศ คือ กิจกรรมหรือโปรแกรมระยะสั้น ที่มักจัดขึ้นในวันแรกหรือสัปดาห์แรกของการทำงาน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแนะนำพนักงานใหม่กับองค์กรในภาพรวม ลักษณะสำคัญของ Orientation ระยะเวลาสั้น – มักใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงถึงไม่กี่วัน เน้นการให้ข้อมูลพื้นฐาน