SEO กับ SEM นักการตลาดออนไลน์เลือกใช้ตัวไหน ถึงดีกับธุรกิจที่สุด?

ธุรกิจทุกวันนี้ส่วนมากแล้วอยู่บนโลกออนไลน์ สำหรับหน้าที่ของนักการตลาดออนไลน์ หลักๆ ก็คือ ทำให้สินค้า บริการ หรือบริษัทที่ทำงานติดอยู่ในระบบค้นหาและแสดงในอันดับต้นๆ เพื่อให้ลูกค้ามองเห็น เพราะยิ่งมองเห็นได้ง่ายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสการคลิกเข้าเว็บไซต์หรือหน้าร้านออนไลน์ของธุรกิจกิจการมากขึ้นเท่านั้น โดยระบบค้นหาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในบ้านเราเวลานี้ก็คือ Google ซึ่งแสดงผลการค้นหาอยู่ 2 แบบ คือ ธรรมชาติ (Organic) กับจ่ายเงิน (Paid) โดยสองอย่างนี้มักถูกเรียกว่า SEO กับ SEM ซึ่งหากเข้าใจ 2 อย่างนี้ ก็สามารถทำงานได้ง่ายๆ สบายๆ ในโลกการตลาด 2021 แล้ว

หรือหากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ ไม่ใช่นักการตลาดโดยตรง แต่อยากรู้วิธีทำเว็บไซต์ให้ติด Google แบบครบรอบด้าน บทความนี้ของ WOW จะพูดถึง SEO คือ อะไร, SEM คือ อะไร, เมื่อไหร่ควรใช้ SEO, SEM หรือทั้งสองอย่าง เพื่อทำการตลาดออนไลน์ให้เข้มข้นมากขึ้น (อ่านเรื่องราวของ SEO เพิ่มความเข้าใจปรับพื้นฐานได้ก่อนที่นี่)

SEO กับ SEM, seo คือ, sem คือ, วิธีทำ seo google, seo ทำยังไง, การตลาดและการโฆษณา, digital marketing, ภาษาการตลาด, เครื่องมือ digital marketing, เครื่องมือการตลาดออนไลน์ 2020, digital marketing tools คือ, digital marketing tools มีอะไรบ้าง อธิบาย, คำศัพท์วงการโฆษณา

ประเภทผลการค้นหาของ Google

สมมติ เราค้นหาคำว่า “แซนด์วิชโบราณ” ในช่องค้นหา ผลที่ขึ้นมาส่วนแรกคือ ผลการค้นหาที่ผู้ทำเว็บไซต์สามารถซื้อพื้นที่กับ Googleได้ หรือ Paid result ถัดมาจึงเป็นผลการค้นหาที่เกิดจากการทำ SEO ของเว็บไซต์ต่างๆ หรือ Organic result ซึ่ง Google ประมวลข้อมูลและแสดงผล ลิงค์ที่ระบบเลือกว่าเกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงกับสิ่งที่อยู่ในช่องค้นหา

แต่ถ้าจะต้องเลือกว่าจะใช้ SEO กับ SEM ดี ก็ต้องเข้าใจฟังก์ชั่นของมัน งั้นมารู้จักกันทีละอย่างว่าคืออะไร และมีรายละเอียดอื่นๆ อะไร ที่มีประโยชน์กับการทำการตลาดออนไลน์ในทุกวันนี้

SEO คือ อะไร?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization ถ้าแปลแค่ชื่อจะมีความหมายว่า การปรับให้เข้ากับระบบค้นหา ส่วนคำอธิบายยาวๆ คือ การปรับเนื้อหาให้ถูกค้นเจอผ่านระบบค้นหาแบบ Organic

“การปรับเนื้อหาที่ว่านี้มีอะไรบ้าง?” เป็นปริศนาที่คนทำเว็บไซต์อยากรู้อยู่เสมอ ซึ่ง Google และระบบค้นหาต่างๆ ก็มีเกณฑ์การคัดเลือก ให้คะแนนเป็นของตัวเอง และมีการปรับเกณฑ์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่ได้เปิดเผยให้ผู้คนทั่วไปรู้หรือตรวจสอบได้อย่างชัดเจน แต่ก็พอจะบอกหลักเกณฑ์คร่าวๆ ได้อยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ ได้แก่

1. On-page SEO การปรับหน้าเว็บเพจแต่ละหน้า

ตัวอย่างของการทำ On-page SEO เช่น

  • การใส่คำค้นหาในหน้าเว็บ
  • การทำหัวข้อเว็บเพจหรือเนื้อหาเฉพาะเจาะจง เช่น วิธีทำน้ำเต้าหู้สูตรคนจีนโพ้นทะเล เขียนโดยลูกหลานสายตรง (คำที่ขีดเส้นใต้คือ การทำให้เนื้อหามีความเฉพาะเจาะจง เชิงลึกมากขึ้น)
  • ตั้งชื่อลิงค์เว็บเพจหรือ url ให้สั้นและได้ใจความ
  • ตั้งชื่อเรื่อง (Title) และคำอธิบายเรื่อง (Meta description) ให้ดึงดูดคนอ่าน
  • ใส่คำค้นในภาพ (Alt text)
  • เขียนเนื้อหาให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย
  • ใส่คำค้นในจุดสำคัญ เช่น ย่อหน้าแรก คำแรกของย่อหน้า

2. Off-page SEO การทำ SEO นอกเว็บไซต์ตัวเอง

ตัวอย่างของการทำ Off-page SEO เช่น

  • เว็บไซต์อื่นใส่ลิงค์เว็บไซต์ของเราในหน้าเว็บเพจของเขา
  • เว็บไซต์อื่นพูดถึงชื่อเว็บไซต์ของรเา
  • มีรีวิวเว็บไซต์ของเราในทางที่ดีหรือให้คะแนนที่ดี

3. Technical SEO การทำ SEO เชิงเทคนิค ซึ่งช่วยให้ Google เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บของเรามากขึ้น

ตัวอย่างของการทำ Techinical SEO เช่น

  • ปรับให้หน้าเว็บเพจโหลดขึ้นมาเร็วขึ้น
  • ใช้ Canonical tag ป้องกันการทำเนื้อหาในเว็บเพจซ้ำ
  • ใช้ hreflang tag ในเว็บที่ทำเนื้อหา 2 ภาษา
  • ปรับ robots.txt ให้ทำหน้าที่ crawl หน้าเว็บให้ดียิ่งขึ้น
  • ไม่เปิดให้ Google เก็บข้อมูล, no indexing หน้าเว็บเพจที่เนื้อหาน้อย
  • เพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ ป้องกันข้อมูลถูกโจรกรรม
  • ปรับให้เว็บไซตใช้งานบนสมาร์ทโฟนได้ดี (Mobile friendliness)

SEM คือ อะไร?

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing หรือการตลาดด้วยการโปรโมทลิงค์เว็บ ให้ถูกมองเห็นมากขึ้นในระบบค้นหา โดยมีการจ่ายเงินโดยตรงร่วมด้วย

โดยปกติแล้ว SEO ก็คือส่วนหนึ่งของ SEM  แต่ SEM จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ SEO และ PPC โดยการทำ SEO จะช่วยส่งเสริม PPC อีกที ทำให้การทำ SEM ดีขึ้น ดังนั้น SEM ส่วนมาก จึงเป็นการทำ PPC และ SEO ไปพร้อมกัน

PPC คือ อะไร?

ทีนี้ PPC คืออะไร PPC ย่อมาจาก Pay Per Click คือ การจ่ายเงินเพื่อโฆษณาลิงค์เว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา ถ้ามีผู้ใช้งานคลิกเว็บไซต์ที่ขึ้นในพื้นที่โฆษณา หรือบริเวณ Paid result บนรูปตัวอย่างข้างบน เจ้าของเว็บไซต์ก็จะเสียเงินค่าคลิก 

นอกจากจำนวนคลิก ราคาค่าคลิกยังขึ้นอยู่กับคำค้น (Keyword) ที่เลือกใช้ คำค้นเหล่านี้มาจากการประมูล (bidding) ของผู้ทำ PPC หลายๆ เว็บไซต์ ซึ่งคำค้นที่มีแนวโน้มคนคลิกเยอะมักจะต้องแข่งขันกับเว็บอื่นมาก ราคาก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ส่วนมาก ก่อนจะซื้อ PPC นักการตลาดออนไลน์จึงต้องค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจหรือวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์เพิ่มเติมด้วย เช่น

  • ถ้าทำเว็บไซต์ขายอุปกรณ์ทำแซนด์วิชโบราณแบบครบ พร้อมขาย คุณควรใช้คำค้นว่า “อุปกรณ์แซนด์วิชโบราณ” หรือ “ขายแซนด์วิชโบราณ” มากกว่า “แซนด์วิชโบราณ” เฉยๆ เพราะผู้ที่สนใจซื้ออุปกรณ์มักจะพิมพ์หาอุปกรณ์หรือจุดประสงค์ตรงกว่าการพิมพ์ว่าแซนด์วิชเฉยๆ
  • ถ้าทำเว็บไซต์รับทำชิปปี้งสินค้าจากจีน ก็อาจใช้คำค้นว่า “ทำชิปปิ้งสินค้าจีน” หรือ “รับทำชิปปิ้งสินค้าจีน ราคาถูก” มากกว่า “ชิปปิ้งสินค้าจากจีน” เพราะคำนี้จะตรงตัวเกินไป และมีแนวโน้มที่จะมีผู้ประมูลแข่งสูง จนทำให้ราคาต่อคลิกสูงตาม (ยกเว้นว่า คุณพร้อมจ่าย ก็ลงทุนได้ตามสมควรเลย)

WOW ส่งท้าย

การพิจารณาว่าจะทำ SEO หรือ PPC (SEM) ดี หรือทำทั้งสองอย่างในจังหวะไหน ผู้ทำเว็บไซต์ต้องเข้าใจธรรมชาติของเว็บไซต์และธุรกิจ/เป้าหมายของเว็บไซต์ตัวเอง ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ไม่มีสูตรตายตัว และปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แต่การเข้าใจการทำงานของ SEO และ PPC จะช่วยให้ทำเว็บไซต์ได้ตรงจุดมากขึ้น

ใช้ SEO เมื่อ..

  1. เว็บไซต์มีพื้นที่ในเว็บสำหรับสร้างเนื้อหาแบบ Organic (เนื้อหาเชิงข้อมูลความรู้) เช่น blog
  2. คุณรู้จักตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ขายดีอยู่แล้ว ต้องการเพิ่มคุณค่าระยะยาวให้กับเว็บไซต์ และรู้ว่าในอนาคตจะมีความต้องการคุณค่านี้ เช่น ทำเว็บไซต์ขายวัตถุดิบทำเบเกอรี่ แล้วให้ความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบต่างๆ
  3. กลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ มักใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเดือน ค้นหาและศึกษาข้อมูลก่อนซื้อสินค้าหรือบริการ เช่น สินค้าราคาแพง
  4. ค่าใช้จ่ายการทำ PPC สูงมากตลอดเวลา
  5. ธุรกิจและเว็บไซต์ของคุณเริ่มเข้าที่แล้ว และมีคุณค่าความน่าเชื่อถือ (Domain Authority) ในระดับหนึ่ง
  6. เว็บไซต์มีการปรับเสริมเติมแต่งจนดีในระดับหนึ่ง และได้ผลค่อนข้างดีในการค้นหาแบบ Organic

ใช้ PPC เมื่อ..

  1. เว็บไซต์คู่แข่งจำนวนมากใช้คำค้นที่คุณจะใช้เหมือนกัน
  2. คุณยังไม่รู้จักตลาดของตัวเองดีพอ และต้องการจะทดสอบไอเดียของตัวเอง หรือสินค้าและบริการ เช่น สินค้าใหม่ไ่เคยมีใครทำมาก่อน
  3. ลูกค้าของธุรกิจนี้รู้ดีว่าต้องการอะไร และมีพฤติกรรมค้นหาสินค้าเลย แล้วเมื่อเจอก็ซื้อทันที
  4. ค่าใช้จ่ายการทำ PPC ไม่สูงมาก หรือมีราคาขึ้นลงบ้าง หรืออยู่ในงบประมาณการทำโฆษณาที่คุณจ่ายได้
  5. เพิ่งสร้างธุรกิจบนพื้นที่ออนไลน์ ยังไม่ค่อยมั่นคงบนออนไลน์
  6. เว็บไซต์ยังต้องปรับปรุง SEO ค่อนข้างมาก

 

หากคุณเพิ่งเริ่มต้นทำเว็บไซต์ หรืออยากทำเว็บเพื่อการขาย ขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการประเภทใด และต้องการต่อยอดให้ธุรกิจโตเร็ว บริหารง่าย ต้นทุนน้อยแต่ทำกำไรได้ระยะยาวยั่งยืน WOW ขอแนะนำ Sale Page เว็บหน้าเดียวช่วยงานขายออนไลน์โดยเฉพาะ

หรือหากมีเว็บไซต์อยู่แล้วแต่ขาดฝ่ายการตลาดออนไลน์ช่วยวางแผนและดำเนินงาน WOW มีบริการ Online Marketing Solutions ที่ช่วยให้ธุรกิจถึงลูกค้าตรงขึ้น มากขึ้น ขายคล่องมากขึ้นแบบยั่งยืน ทั้งสองบริการสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ WOW เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้เว็บไซต์ที่คุณมี เป็นหน้าร้านออนไลน์ที่คุณบริหารจากที่ไหนก็ได้ หรือเปิดรับลูกค้าได้จากทุกที่ทุกมุมมากที่สุด

อ้างอิง :

wikipedia.org

อยากทำเว็บไซต์ธุรกิจที่ช่วยสร้างยอดขายได้จริง ปรึกษา WOW ฟรีที่นี่

รับบทความใหม่ ไปอ่านก่อนใครไหม?

ทำธุรกิจออนไลน์ด้วยความรู้อัปเดต เข้าใจง่าย ได้ยอดขายดีจริงๆ กันดีกว่า!

บทความน่าอ่านในหมวดเดียวกัน

why-we-need-blog
Marketing

15 เหตุผลทำไมต้องมี Blog

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมแบรนด์ดังๆ ถึงทุ่มเทเวลาและทรัพยากรมากมายไปกับการทำบล็อก? หรือบางทีคุณอาจกำลังคิดว่า… “ธุรกิจของเราเล็กเกินไป ยังไม่จำเป็นต้องทำบล็อกหรอก” “ลูกค้าของเราไม่น่าจะสนใจอ่านบล็อก” “เรามีโซเชียลมีเดียแล้ว บล็อกคงไม่สำคัญเท่าไหร่” “ไม่มีเวลาพอจะมาทำบล็อกหรอก มีงานอื่นที่สำคัญกว่า” ถ้าคุณกำลังคิดแบบนี้อยู่ บทความนี้มีไว้สำหรับคุณโดยเฉพาะ 15 เหตุผลต่อไปนี้จะเปิดมุมมองใหม่ให้คุณเห็นว่า ทำไมแบรนด์ระดับโลกถึงให้ความสำคัญกับการทำบล็อก และทำไมธุรกิจของคุณไม่ควรรอช้าที่จะเริ่มต้นทำบล็อกตั้งแต่วันนี้ 1. Blog สร้างลูกค้าเป้าหมายได้มากกว่าการยิงโฆษณาถึง 3 เท่า รู้ไหมว่าการทำบล็อกให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งแค่ไหน? ลองนึกภาพดูว่าคุณมีบล็อกที่เขียนดี มีเนื้อหาที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย แค่นี้คุณก็มีโอกาสได้ลูกค้ามากกว่าการลงโฆษณาถึง

blog-content-seo-strategy
SEO

กลยุทธ์การเขียน Blog ให้ติด SEO อย่างมีประสิทธิภาพ 7 ขั้นตอน

การทำบล็อกให้ติดอันดับ Google เป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดออนไลน์ในปี 2024 เทคนิค SEO สำหรับบล็อกที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยประหยัดงบประมาณการโฆษณา แต่ยังสร้างทราฟฟิกระยะยาวให้กับเว็บไซต์ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ B2B ที่ต้องการวิธีทำบล็อกให้ติดหน้าแรก บทความนี้จะแนะนำขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์การเขียนบล็อกและการทำ SEO บล็อกที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google ได้อย่างยั่งยืน พร้อมเทคนิคการทำบล็อกให้น่าสนใจที่นำไปใช้ได้จริง   เข้าใจพื้นฐานก่อนเริ่มต้น การเขียนบล็อกให้ติด SEO ไม่ใช่แค่การใส่คำค้นหาลงไปในเนื้อหา แต่ต้องเริ่มจากความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายและเป้าหมายทางธุรกิจของคุณอย่างลึกซึ้ง มาดูขั้นตอนสำคัญทั้ง 7