seo-terms-beginners-guide

ศัพท์ SEO ที่มือใหม่ของวงการต้องรู้

เป้าหมายของคนที่เริ่มทำเว็บไซต์ทุกคนมีเหมือนกันคือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ขึ้นไปอยู่ในหน้าแรกของ Google ซึ่งเราเรียกกันว่า Search Engine Optimization หรือ SEO การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ นั้นมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง และถ้าคุณเป็นมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ การทำความเข้าใจคำศัพท์ SEO พื้นฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้

ในบทความนี้ เราได้รวบรวมคำศัพท์ SEO ที่จำเป็นมากถึง 60 คำ พร้อมคำอธิบายความหมายที่เข้าใจง่าย เพื่อให้คุณสามารถเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ในการทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ทาง WE ON WEB ก็เคยได้รวบรวม ศัพท์การตลาดออนไลน์ Digital Mating  มาก่อนนี้แล้ว

ศัพท์ SEO หมวด พื้นฐาน

    1. Algorithm คือ เครื่องมือที่ Search Engine ใช้ในการจัดการข้อมูล และแสดงผลการค้นหาของเว็บไซต์ที่เราค้นผ่านการกรอกคำค้นหาลงไป ตัวอย่างเช่น Google Algorithm
    2. Clickbait คือ เนื้อหาที่เราตั้งใจออกแบบไว้เพื่อดึงผู้ใช้คลิกเข้าไปอ่านในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นลิงก์ ข้อความ หรือรูปภาพ โดยที่เนื้อหาดังกล่าวไม่ได้มีข้อมูลอะไรสำคัญ
    3. SERPs ย่อมาจาก Search Engine Results Page  คือ หน้าผลการค้นหาที่เราพบหลังจากค้นหาข้อมูลไป ซึ่งประกอบด้วย ช่องใส่คำค้นหา ชื่อของเว็บไซต์ และคำอธิบายเนื้อหาของเว็บไซต์นั้น
    4. Organic Search คือ การแสดงผลการค้นหาเว็บไซต์ทั่วไปที่ Algorithm จัดอันดับ ตามเกณฑ์ที่ Google กำหนดเอาไว้ โดยไม่รวมผลการค้นหาที่เสียเงินโฆษณา
    5. Paid Search คือ การจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาบน Search Engine เพื่อให้ลิงก์เว็บไซต์ที่เราต้องโฆษณาขึ้นไปอยู่ก่อนหน้าผลการค้นหาแบบ Organic Search
    6. PPC ย่อมาจาก Pay Per Click คือ การทำโฆษณาลิงก์เว็บไซต์ของเราบน Search Engine แบบเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งลิงก์ที่มีการทำโฆษณาแบบ PPC จะมีคำกำกับอยู่ที่ URL ว่า “ได้รับการสนับสนุน” โดยจะคิดค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนคลิกลิงก์โฆษณาของเราที่อยู่ในหน้าแสดงผลการค้นหา 
    7. SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing คือการผสมคำกันระหว่าง “Search Engine” กับ “Marketing” เมื่อรวมกันจึงมีความหมายว่า การทำตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต ซึ่ง SEM ประกอบด้วย Paid Search และ PPC นั่นเอง

ศัพท์ SEO หมวด Keyword Optimization 

    1. Black Hat SEO คือ วิธีการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเรามี Ranking เพิ่มขึ้น โดยไม่ได้ทำตามหลักการทำ SEO ทั่วไป เช่น การทำ Keyword Stuffing และ Cloaking
    2. Cloaking คือ การปรับเนื้อหาให้ Search Engine และผู้ใช้เห็นเนื้อหาเดียวกันในคนละรูปแบบ โดยการใช้ Keyword ที่มียอดถูกค้นหาสูงมาใช้ในเนื้อหา เพื่อให้ Search Engine เข้าใจว่า เนื้อหานั้นๆ มีความเหมาะสมที่จะนำไปจัดอันดับ
    3. Keyword คือ คำค้นหาที่เราพิมพ์ลงไปใน Search Engine เพื่อค้นหาข้อมูล เช่น เราพิมพ์คำว่า “การทำ SEO” Algorithm ก็จะแสดงเว็บไซต์ที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับคำว่า “การทำ SEO” ขึ้นมาให้เราเลือก
    4. Keyword Density คือ จำนวนความหนาแน่นของคำค้นหาที่อยู่ในบทความของเราว่ามีควรจำนวนเท่าไหร่ ถึงจะเหมาะสมต่อการทำ SEO 
    5. Keyword Research คือ การหาคำค้นหาของเราที่มีคนค้นหาบน Search Engine มาก เพื่อนำมาวิเคราะห์ดูว่าเราควรจะใช้คำค้นหาไหนให้เหมาะสมเนื้อหาของเรา และวางแผนการสร้างเนื้อหาต่อไป
    6. Long-Tail Keywords คือ คำค้นหาที่มีความยาวตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป ซึ่งไม่มีนิยมนำมาใช้ แต่จะมีความละเอียดมากขึ้นและทำให้ติดอันดับการค้นหาได้ง่ายกว่า เพราะมีคู่แข่งน้อยกว่า 
    7. Keyword Stuffing คือ การทำ Black Hat SEO อีกวิธี โดยการใส่คำค้นหาลงในบทความของเรามากเกินความจำเป็น โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะให้ Algorithm มองว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้นๆ มาก และนำไปจัดให้อยู่ในอันดับสูงๆ 

ศัพท์ SEO หมวด On-Page SEO

    1. Alt Text หรือ Alternative Text เป็นคำอธิบายหรือโค้ดที่เราใช้อธิบายรูปภาพที่อยู่ในเว็บของเรา เพื่อให้ Google รู้ว่ารูปภาพนั้นมีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหาอะไร ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับรูปภาพใน Google Image ด้วย
    2. Anchor Text คือ ลิงก์ของคำบนเว็บไซต์ที่เราสามารถคลิกเพื่อที่จะเปลี่ยนไปยังข้อมูลหน้าอื่น ที่มีการเชื่อมต่อกับ Anchor Text เอาไว้นั่นเอง
    3. Featured Snippets คือ ผลการค้นหาที่จะปรากฏในหน้าผลการค้นหาซึ่งอยู่บนสุดของ Google โดยจะแสดงข้อมูลที่ตรงกับคำค้นหามากที่สุด พร้อมกับไฮไลต์ข้อความสำคัญให้ด้วย
    4. Meta Tags คือ ข้อความที่ช่วยอธิบายเนื้อหาในเว็บของเราว่าคืออะไร และมีความเกี่ยวข้องกับอะไร โดย Search Engine จะใช้ Meta Tags เพื่อดูว่าคอนเทนต์ดังกล่าวเกี่ยวกับอะไร แล้วดึงข้อมูลจาก Meta Tags ให้มาปรากฏอยู่บนหน้าแสดงผลการค้นหา
    5. Title Tag คือ ชื่อของลิงก์เว็บไซต์ที่ปรากฏบนหน้าแสดงผลการค้นหา และเป็นส่วนที่เราจะต้องคลิกเพื่อเข้าไปอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมที่อยู่ในลิงก์นั้น
    6. Meta Description คือ คำอธิบายภาพรวมของเว็บไซต์หรือลิงก์ดังกล่าวว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ช่วยให้ผู้ใช้รู้ว่าเว็บไซต์ที่เจอมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ซึ่งจะอยู่ในใต้ Title Tag  
    7. On-Page SEO คือ การปรับแต่งเนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์ของเราให้ผู้ใช้งานเข้าถึงง่าย และ Algorithm รู้ว่าเนื้อหาในเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร เพื่อนำไปจัดอันดับต่อไป
    8. White Hat SEO เป็นการทำ SEO ที่ถูกต้องตามหลักด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทำ On-Page SEO, การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) และส่วนที่เชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน (User Interface) 

ศัพท์ SEO หมวด Technical 

    1. Broken Link คือ ลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเราคลิกเข้าไปจะขึ้นข้อความว่า “404 Not Found” ซึ่งเกิดจากเว็บไซต์หรือหน้าเว็บนั้นถูกปิด หรือมีการเปลี่ยน URL ใหม่
    2. Canonical Tag คือ Tag ที่เราใส่อยู่ใน URL ของเว็บไซต์ ทำหน้าที่บอก Google Bot ที่มาเก็บข้อมูลให้รู้ว่า URL ที่ใส่ Tag นี้เอาไว้คือหน้าหลักของเว็บไซต์เรา ป้องกันไม่ให้ Search Engine จัดอันดับข้อมูลผิด
    3. Crawling คือ กระบวนการที่ Google จะส่งบอท ไปเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ทั่วโลก และนำมาวิเคราะห์ว่าเว็บไซต์นั้นๆ มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร และจะเชื่อมโยงกับ Keyword อะไรได้บ้าง
    4. Duplicate Content คือ การทำเนื้อหาใหม่โดยมีเนื้อหาจากเว็บอื่นๆ เป็นต้นแบบ หรือคัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่นมาลงในเว็บไซต์ของเรา โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อทำให้อันดับเว็บไซต์ตกลง
    5. HTML ย่อมาจาก Hypertext Markup Language คือ ภาษาที่เอาไว้ใช้สร้างเว็บไซต์ และจะเป็นคำสั่งในหน้าเว็บไซต์ของเราว่าจะออกแบบให้มีหน้าตาอย่างไร เช่น เน้นตัวหนังสือ เน้นการใช้สีสัน หรือเน้นการใช้ภาพประกอบ
    6. HTTP ย่อมาจาก Hypertext Transport Protocol คือ โปรโตคอลที่ใช้ในการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ไปยังเว็บเบราเซอร์ เพื่อให้เบราเซอร์ดึงข้อมูลที่เราต้องการขึ้นมาแสดงผลให้ โดยทั่วไปคือการดึงข้อมูลเว็บไซต์ที่เราต้องการเข้าขึ้นมาแสดงผล
    7. HTTPs ย่อมาจาก Hypertext Markup Language Secure คือ โปรโตตอลแบบเดียวกับ HTTP ที่มีการเข้ารหัสเพื่อให้การดึงข้อมูลระหว่างเว็บไซต์กับเว็บเบราว์เซอร์มีความปลอดภัยมากขึ้น จึงมีการนำตัวอักษร S ซึ่งมาจากคำว่า Secure มาต่อท้าย 
    8. Indexing คือ กระบวนการที่ Google ใช้บอทไปเก็บข้อมูลของคอนเทนต์ที่อยู่ในแต่ละหน้าของเว็บไซต์ แล้วนำไปจัดเก็บในฐานข้อมูลแยกตาม Keyword เพื่อให้ผู้ใช้ค้นหาได้
    9. PageSpeed Insights เป็นเครื่องมือของ Google ที่เรานำไปใช้วัดความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและวิเคราะห์ดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเร็วในการโหลดทั้งการเข้าเว็บผ่าน PC และโทรศัพท์

ศัพท์ SEO หมวด Link Building และ Off-Page SEO

    1. Backlink คือ การมีลิงก์เว็บไซต์ของเราไปอยู่บนหน้าเว็บของคนอื่น ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์อื่นมีการกล่าวถึงเรา ช่วยให้ Google รู้ว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพ 
    2. External Link คือ การนำ Hyperlink มาใส่ลงไปในข้อความที่เป็นลิงก์บนเนื้อหาในเว็บไซต์ของเรา เมื่อผู้ใช้คลิกข้อความก็จะพาผู้ใช้ไปยังเว็บอื่นตามข้อมูลที่อยู่ใน Hyperlink
    3. Guest Post คือ การเขียนบทความลงเว็บไซต์ และแชร์บทความของเราให้อยู่ในเว็บไซต์และ Social Media ของแบรนด์อื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับแบรนด์ของเรา เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ให้ผู้อ่าน
    4. Internal Link คือ ลิงก์ต่างๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์ของเราเอง เมื่อผู้ใช้งานคลิก ลิงก์ก็พาผู้ใช้ไปยังหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้อยู่ในเว็บของเรานานขึ้น เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้ Algorithm เห็นว่าเว็บของเรามีคุณภาพ
    5. Link Building คือ กลยุทธ์ที่ทำให้เว็บไซต์อื่นมีลิงก์ (Backlink) มาที่เว็บไซต์ของเรา เพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีคุณภาพและน่าเชื่อถือไปในตัว เพราะถูกนำไปอ้างอิง
    6. Off-Page SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ของเราที่ทำจากนอกเว็บไซต์ เช่น การทำให้แบรนด์ไปอยู่ในแพลตฟอร์มอื่นๆ นอกจากเว็บไซต์ของเรา การทำให้ผู้ใช้พูดถึงแบรนด์ของเราใน Social Media อย่างการติด Hashtag และค้นหาข้อมูลแบรนด์ต่อ

ศัพท์ SEO หมวด User Experience และ Behavior Metrics

    1. Bounce Rate คือ อัตราการเปิดเข้ามาดูเว็บไซต์ของเราเพียงหน้าเดียวแล้วกดออก ไม่มีการคลิกไปยังส่วนอื่นของเว็บไซต์ หากเว็บของเรามีค่า Bounce Rate สูง ก็หมายความว่าเว็บของเราไม่มีคุณภาพ เพราะผู้ใช้ไม่ได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเว็บเลย
    2. Cache คือ หน่วยความจำที่ใช้ในการเก็บข้อมูลของเว็บที่เคยเข้าเอาไว้ชั่วคราว เพื่อให้ผู้ใช้โหลดเข้าหน้าเว็บเดิมได้เร็วขึ้นเมื่อกลับเข้ามาใหม่
    3. CTA ย่อมาจาก Call-to-Action คือ รูปแบบการโฆษณาที่มีเป้าหมายให้ผู้ใช้คลิกลิงก์เข้ามาไปทำกิจกรรมในเว็บไซต์ตามที่เราวางแผนเอาไว้ ซึ่ง CTA มีหลายรูป เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือภาพกราฟิก
    4. CTR ย่อมาจาก Click-Through Rate คือ ค่าสัดส่วนของผู้ใช้คนที่เห็นลิงก์โฆษณาหรือเว็บไซต์ของเราและคลิกเข้ามาดูต่อจำนวนการมองเห็น หากเว็บของเรามียอด CTR สูง ก็หมายถึงเว็บไซต์ของเราได้รับความสนใจจากการมียอดคลิกเข้ามามาก 
    5. Conversion คือ กิจกรรมที่ผู้ใช้ทำเมื่อเข้ามาในเว็บไซต์ของเราและช่วยสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ได้ ซึ่งการทำ Conversion ที่เสร็จสมบูรณ์ขึ้นอยู่กับเราจะกำหนดว่าการทำ Conversion จะสิ้นสุดตรงไหน เช่น ผู้ใช้สมัครสมาชิกเสร็จสมบูรณ์ ผู้ใช้หยิบสินค้าลงตะกร้า หรือผู้ใช้ชำระเงินซื้อสินค้าเรียบร้อย
    6. Conversion Rate คือ อัตราที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ทำกิจกรรมตาม Conversion ที่เรากำหนดเอาไว้เสร็จสมบูรณ์
    7. CRO ย่อมาจาก Conversion Rate Optimization คือ การปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้มีโอกาสทำ Conversion มากขึ้น
    8. Engagement คือ ยอดตัวเลขของผู้ใช้งานที่เห็นคอนเทนต์และมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์นั้นบน Social Media ทั้งเช่น ยอดกดถูกใจ ยอดกดแชร์ ยอดกดแสดงอารมณ์ และยอดการแสดงความคิดเห็น
    9. Domain คือ ที่อยู่ของเว็บไซต์ของเราที่อยู่หลัง www. เมื่อเริ่มทำเว็บไซต์ก็ต้องระบุว่าเว็บของเราเป็นเว็บประเภทใด เช่น google.com และ facebook.com
    10. Homepage คือ หนักหลักหรือหน้าแรกของเว็บไซต์
    11. Page Rank คือ วิธีที่ Google Algorithm ใช้จัดอันดับความสำคัญของเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยมีการกำหนดค่าความสำคัญเอาไว้ตั้งแต่ 0-10 ยิ่งเว็บไซต์ของเราได้ตัวเลขสูง ก็จะช่วยให้ Page Rank มีอันดับสูงไปด้วย
    12. Pageview คือ จำนวนของผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของเราทั้งหมดที่คลิกลิงก์ โดยจะนับรวมทั้งการเข้าเว็บใหม่ หรือผู้ใช้ที่เข้าเว็บไซต์ค้างเอาไว้ และมีการโหลดหน้าเว็บไซต์ใหม่
    13. Ranking คือ อันดับที่เว็บไซต์ของเราปรากฏในผลลัพธ์ของหน้าค้นหา ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ขึ้นอยู่กับ Keyword ที่ถูกค้นหา

ศัพท์ SEO หมวด Content Strategy และ Management

    1. Topic Cluster คือ การนำ Content ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันมาจับกลุ่มกันเพื่อทำเป็นกลุ่มคอนเทนต์หลัก
    2. UGC ย่อมาจาก User-Generated Content คือ ผู้ใช้งาน Social Media มีการสร้างคอนเทนต์ขึ้นมาและเผยแพร่ผ่านช่องทางของตัวเอง ซึ่งแบรนด์สามารถใช้ช่องทางนี้ทำโฆษณาทางอ้อมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น ให้ลูกค้าโพสต์รูปสินค้าและติด Hashtag ชื่อสินค้าหรือแบรนด์ เป็นต้น

ศัพท์ SEO หมวด Local SEO

    1. Local SEO คือ การทำ SEO ที่เหมาะกับธุรกิจท้องถิ่น ที่จะเจาะจงเฉพาะพื้นที่ที่ธุรกิจของเราดำเนินการอยู่ โดยคำค้นหาที่ใช้จะประกอบด้วย ชื่อสินค้า+ชื่อพื้นที่ เช่น ร้านอาหารเขตบางนา

คำศัพท์ SEO หมวด Analytics และ Reporting

    1. Branded Keyword คือ การค้นหาข้อมูลโดยใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับแบรนด์โดยตรง หรือมีชื่อแบรนด์รวมอยู่ในคีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหาด้วย เช่น “ทำเว็บไซต์กับ WE ON WEB”
    2. Google Analytics คือ เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ที่ช่วยเก็บข้อมูลของผู้ใช้ที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเรา
    3. Impression คือ จำนวนครั้งที่มีคนเห็นเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหาบน Search Engine การมีคนเห็น 1 ครั้ง เท่ากับ 1 Impression หากมียอด Impression มาก ก็จะช่วยให้อันดับของเว็บไซต์ของเราดีขึ้น
    4. Landing Page คือ หน้าเว็บไซต์ที่เราออกแบบมารองรับการเข้ามาดูเว็บไซต์ของผู้ใช้โดยเฉพาะ เช่น ผู้ใช้คลิกลิงก์เข้ามาเจอกับหน้าสมัครสมาชิก หรือหน้าสั่งซื้อสินค้า เพื่อให้ผู้ใช้มีการทำกิจกรรมบนเว็บไซต์ของเราต่อ
    5. Leads คือ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มีความสนใจและมีแนวโน้มจะเข้ามาเป็นลูกค้าของธุรกิจเรา
    6. Organic Traffic คือ จำนวนผู้ที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหาทาง Search Engine และคลิกลิงก์เข้ามาโดยตรง
    7. Search Volume คือ ตัวเลขจำนวนครั้งที่มีคนค้นหา Keyword บน Search Engine ซึ่งปกติจะมีการวัดปริมาณเป็นจำนวนครั้งต่อเดือนหรือปี

ทั้งหมดนี้ก็คือคำศัพท์ SEO พื้นฐานที่คนทำเว็บไซต์หรือเริ่มต้นการทำ SEO และอยากเรียนรู้คำศัพท์ต้องรู้ ซึ่งเราจะเห็นว่าคำศัพท์หลายคำมีความเกี่ยวข้องกัน บางคำเป็นองค์ประกอบที่เราเห็นได้จากการใช้งาน Search Engine ทั่วไป ในขณะที่บางคำจะได้เห็นผ่านการพัฒนาเว็บไซต์เบื้องหลัง หรือทำ SEO เลย ดังนั้น การรู้คำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจในเรื่อง SEO มากขึ้น และนำไปใช้ในการเว็บได้เลย

แหล่งอ้างอิง

1 2

 

 

อยากทำเว็บไซต์ธุรกิจที่ช่วยสร้างยอดขายได้จริง ปรึกษา WOW ฟรีที่นี่

รับบทความใหม่ ไปอ่านก่อนใครไหม?

ทำธุรกิจออนไลน์ด้วยความรู้อัปเดต เข้าใจง่าย ได้ยอดขายดีจริงๆ กันดีกว่า!

บทความน่าอ่านในหมวดเดียวกัน

Content Pillar
Uncategorized

Content Pillar คืออะไร ทำไมนักการตลาดต้องรู้

การทำธุรกิจในปัจจุบัน การมีตัวตนบน Social Media อาจไม่สำคัญเท่ากับการที่แบรนด์จะต้องคอยสื่อสารเพื่อให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายรู้จักแบรนด์และสินค้าของแบรนด์ผ่านการโพสต์คอนเทนต์ลงแพลตฟอร์ม ยิ่งมีแพลตฟอร์มมากและแต่แพลตฟอร์มก็มีรูปแบบการทำคอนเทนต์ที่ต่างกัน การโพสต์คอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพจึงต้องมีการวางแผนคอนเทนต์ หรือที่เรียกว่าการทำ Content Pillar กันก่อน Content Pillar คืออะไร Content Pillar คือหัวข้อหลักของเนื้อหาที่แบรนด์อยากนำเสนอให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ โดยการนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและสินค้าของแบรนด์ตามวัตถุประสงค์แบรนด์วางเอาไส้ ช่วยให้ผู้ใช้รู้จักแบรนด์และเข้าใจว่าแบรนด์ขายสินค้าอะไร Content Pillar มีกี่ประเภท การแบ่งประเภท Content Pillar

ขั้นตอนการเปิดบริษัททัวร์
Marketing

ขั้นตอนการเปิดบริษัททัวร์: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้ประกอบการใหม่

การเปิดบริษัททัวร์เป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่หลงใหลในการท่องเที่ยวและต้องการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับนักเดินทาง บทความนี้จะแนะนำขั้นตอนสำคัญในการเปิดบริษัททัวร์อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างราบรื่น 1. การจองชื่อบริษัท ขั้นตอนแรกในการเปิดบริษัททัวร์คือการจองชื่อบริษัท ซึ่งสามารถทำได้ผ่านระบบออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ข้อควรรู้ในการจองชื่อบริษัททัวร์ สามารถใช้คำว่า “ทัวร์” หรือ “ทราเวล” ในชื่อบริษัทได้ทันที ไม่จำเป็นต้องแก้ไขชื่อภายหลัง สามารถใช้ชื่อที่มีคำเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้น ตรวจสอบว่าชื่อที่ต้องการไม่ซ้ำกับบริษัทอื่นที่จดทะเบียนแล้ว  2. การจดทะเบียนบริษัทนำเที่ยว หลังจากจองชื่อบริษัทแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจดทะเบียนบริษัท ซึ่งมีสองวิธีให้เลือก:  ก. แบบ Manual ยื่นเอกสารที่สำนักพัฒนาธุรกิจการค้าหรือพาณิชย์จังหวัดใกล้บ้าน