what-is-inbound-marketing

รู้จัก Inbound Marketing พร้อมเทคนิคการใช้ให้ได้ผล ดึงลูกค้าได้อยู่หมัด

ทุกบริษัทอยากให้มีลูกค้าเข้าไปดูสินค้าได้อย่างต่อเนื่องทั้งที่ไม่ได้มีสินค้าใหม่หรือโฆษณาอะไร เพราะถ้าทำได้ก็จะช่วยให้แบรนด์เติบโตในระยะยาว ลูกค้ารู้จักทั้งแบรนด์และสินค้า และหนึ่งในเทคนิคการตลาดที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถดึงดูดลูกค้าก็คือ Inbound Marketing

แล้ว Inbound Marketing คืออะไร และจะช่วยให้เราดึงลูกค้าได้อย่างไร เราไปทำความรู้จักกันเลย

Inbound Marketing คืออะไร

Inbound Marketing คือการทำตลาดที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาหาแบรนด์ ผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและมีประโยชน์จนลูกค้าเกิดความสนใจและติดตามแบรนด์ ทำให้แบรนด์กลายเป็นตัวเลือกในการใช้บริการของกลุ่มเป้าหมาย

วิธีการนี้แตกต่างจาก Outbound Marketing แบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง หากคุณอยากทราบว่าทั้งสองวิธีแตกต่างกันอย่างไรและควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ เปรียบเทียบความแตกต่าง Outbound กับ Inbound Marketing

Inbound Marketing มีลักษณะอย่างไร

Inbound Marketing มีลักษณะสำคัญ 6 ด้านด้วยกัน ได้แก่

1.การมีส่วนร่วมของลูกค้า

เราต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองด้วยตัวเองอยู่แล้ว เช่นเดียวกับการเลือกสินค้า หากแบรนด์ต้องการเป็นที่ถูกเลือก แบรนด์ก็ต้องทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกเลือกด้วยการทำคอนเทนต์เพื่อสื่อสารออกไป ซึ่งมีวิธีสื่อสาร 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่

วิธีที่ 1 การสื่อสารผ่านสื่อที่ลูกค้าเลือกติดตามได้ โดยมีตัวอย่างช่องทาง เช่น

  • Social Media หากลูกค้าเห็นโพสต์ของเพจผ่าน Facebook และติดตามคอนเทนต์ต่อไปเรื่อยๆ จนเกิดความชอบ ผู้ใช้ก็สามารถกดติดตามเพจเพื่อคอนเทนต์ได้เลย ไม่ต้องค้นหาใหม่
  • Blog Subscriber เป็นวิธีที่แบรนด์ใช้เพื่อดึงลูกค้าให้เข้าเว็บไซต์มากขึ้น โดยการเขียน Blog Post ลงเว็บไซต์แต่เปิดให้อ่านได้บางส่วน ถ้าผู้ใช้อยากอ่านบทความเต็ม ก็ต้องสมัครเป็นสมาชิกเว็บเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการอ่านบทความเต็มได้

วิธีที่ 2 ตอบข้อสงสัยออกไปโดยไม่ต้องรอให้ถูกถาม โดยมีช่องทางตัวอย่าง เช่น

  • SEO เมื่อลูกค้ามีปัญหา พวกเขาจะค้นหาวิธีแก้ไขหาผ่าน Search Engine แบรนด์จึงต้องนำ Keyword ของปัญหามาทำคอนเทนต์ SEO เพื่อให้ลูกค้าหาเจอและนำไปแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่าแบรนด์นี้ช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้
  • Landing Page คือเว็บไซต์หน้าหลักที่ลูกค้าจะเข้ามาเจอแบรนด์ และยังบอกลูกค้าให้รู้ว่าแบรนด์ขายสินค้าอะไร ซึ่งเป็นการโฆษณาไปในตัวด้วย หากลูกค้าสนใจก็สามารถคลิกหรือใส่รายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อได้

2.จุดยืนของแบรนด์

แบรนด์ที่เลือกการทำตลาดแบบ Inbound Marketing จะต้องการเล่าเรื่องของตัวเองเพื่อให้ลูกค้าหันมาสนใจ ทำให้ลูกค้าเห็นตัวตนและจุดยืนที่ชัดเจน และคำตอบคือการสร้างคอนเทนต์ที่สามารถให้ประโยชน์แก่ลูกค้าได้นั่นเอง ซึ่งคอนเทนต์ดังกล่าวอาจจะเป็นการสร้างความประทับใจ การให้ความรู้หรือข้อมูลที่จำเป็น หรือแม้แต่การเข้าไปส่วนร่วมกับลูกค้าด้วยผ่านแคมเปญ ก็จะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของเรา

3.กลยุทธ์การตลาด

Inbound Marketing จะยึดการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก มีการใช้โซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์มในการเผยแพร่คอนเทนต์ร่วมกับเว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น

  • การอัปเดตสเตตัสบน Facebook ให้ผู้ติดตามเห็นความเคลื่อนไหว
  • การลงคลิปบน YouTube เพื่อเล่าเรื่อง หรือริวิวสินค้า
  • การเขียน Blog เพื่อให้คนเข้ามาอ่านเรื่องที่อยากนำเสนอ

ซึ่งแต่ละแบรนด์จะต้องมีสไตล์การทำคอนเทนต์ของตัวเองเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ชอบคอนเทนต์และรูปแบบการนำเสนอเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้

4.ข้อความที่อยากสื่อสาร

การทำคอนเทนต์จะต้องมีเนื้อหาที่เจาะจงเลยว่าจะทำออกมาในรูปแบบไหน เป็น Blog, Video หรือ Infographic และอยากสื่อสารเรื่องอะไร เช่น เล่าข่าว, ให้ความรู้ หรือโฆษณาสินค้า และที่สำคัญคือคนดูจะได้ประโยชน์อะไร เช่น ได้รู้ข้อมูลใหม่,  หรือได้เห็นตัวอย่างการใช้สินค้าจริง ช่วยให้คนดูรู้จักแบรนด์และติดตามเพื่อดูคอนเทนต์ที่สนใจต่อ

5.การเผยแพร่คอนเทนต์

ข้อดีของการทำ Inbound Marketing คือแบรนด์เป็นเจ้าของสื่อ และสามารถควบคุมรายละเอียดของการเผยแพร่คอนเทนต์ได้เอง เช่น

  • งบประมาณ กำหนดได้ว่าจะใช้เท่าไหร่ และใช้กับสื่อช่องทางไหนบ้าง
  • ระยะเวลา กำหนดได้ว่าจะเผยแพร่ Ads นานแค่ไหน 
  • กลุ่มเป้าหมาย สามารถกำหนดรายละเอียดของกลุ่มเป้าหมายได้เลยว่าต้องการให้เข้าถึงลูกค้าเพศใด อายุเท่าไหร่ หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ใด และต้องการให้เข้าถึงในปริมาณแค่ไหน

6.ข้อมูลและแหล่งที่มา

สิ่งสำคัญที่แบรนด์ได้จากการทำ Inbound Marketing นั่นคือการมีเครื่องมือที่ช่วยให้เราเก็บข้อมูลจากคอนเทนต์ที่เผยแพร่ได้อย่างละเอียดและเชื่อถือได้ ยกตัวอย่าง Google Analytics ที่จะเก็บข้อมูลผู้ใช้ที่เข้ามาในเว็บไซต์ โดยมีข้อมูลหลายอย่าง เช่น 

  • Audience Reports คือรายงานที่จะบอกว่าผู้ใช้ที่เข้าเว็บมาเพศอะไร อายุเท่าไหร่ และอยู่ที่ไหน
  • Acquisition Reports คือรายงานที่จะบอกว่าผู้ใช้เข้าเว็บมาจากทางไหน เช่น มาจากการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์โดยตรง การหาเจอบน Google หรือการคลิกลิงก์จากโซเชียลมีเดีย
  • Behavior Reports คือรายงานที่จะบอกว่าผู้ใช้เข้ามาในเว็บหน้าไหน และดูข้อมูลอะไร

Inbound Marketing มีหลักการใช้งานอย่างไร

แต่เดิม Inbound Marketing ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีหลักการใช้งานอยู่ 4 ขั้นตอน และต่อมามีการปรับปรุงเทคนิคให้เหลืออยู่ 3 ขั้นตอน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1.Attract

เริ่มจากแบรนด์จะต้องหาวิธีดึงดูดผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งถูกนิยามว่าเป็น “คนแปลกหน้า” (Strangers) ที่ยังไม่รู้จักแบรนด์ให้มาเป็น “ผู้เข้าชม” (Visitor) ทางเว็บไซต์และ Social Media โดยมีตัวอย่างคอนเทนต์ เช่น

    • Ads การทำ Ads จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายที่เห็นรู้ว่าแบรนด์ทำธุรกิจอะไร และมีสินค้าอะไรที่ลูกค้าสามารถคลิกเข้าไปเพื่อทำความรู้จักแบรนด์เพิ่มเติม
    • Blog Post การเขียน Blog เล่าเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Traffic ผู้ใช้ให้กับเว็บไซต์ได้
    • Video การเล่าเรื่องผ่านวิดีโอเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วมกับคอนเทนต์และดึงดูดความสนใจได้ดีที่สุด  

2.Engage

ถัดมาเมื่อกลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์ของเราแล้ว ให้เราเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายจากผู้เข้าชมให้มาเป็นลูกค้าซื้อสินค้าของเรา โดยในขั้นตอนนี้ แบรนด์จะต้องสอบถามลูกค้าให้รู้ว่ามีปัญหาอะไรและเสนอวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์มีสินค้าที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ 

ดังนั้น หากแบรนด์สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้า อาทิ ปัญหาที่เจอ ความต้องการ และงบประมาณ ได้ก็จะช่วยให้แบรนด์ได้ลูกค้าที่มีแนวโน้มซื้อสินค้า (Lead) และในบางกรณีก็เปลี่ยนจากลูกค้าที่สนใจให้เป็นลูกค้าที่ซื้อค้า (Customer) ได้เลย ซึ่งแบรนด์สามารถใช้เครื่องมือในการเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น

  • Call-to-Action การเก็บข้อมูลของลูกค้าที่สนใจสินค้าของเราผ่านการทำคอนเทนต์ที่กระตุ้นความสนใจ และมีตัวเลือกให้ผู้ใช้ที่เห็นสามารถคลิกเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่ม
  • Chatbot เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะช่วยสื่อสารกับลูกค้าเบื้องต้นผ่านข้อความ และยังเป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลของลูกค้าเพิ่มเติม นอกจากการติดต่อกับเจ้าหน้าที่โดยตรง 
  • Forms มาถึงอีกตัวเลือกที่จะช่วยเก็บข้อมูลของลูกค้าโดยตรงนั่นคือการใช้ Forms จะช่วยให้ผู้ใช้ที่เห็นคอนเทนต์บนเว็บไซต์และสนใจ สามารถกรอกข้อมูลที่อยากติดต่อกับแบรนด์ได้เลย

3.Delight 

มาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการสร้างความประทับใจที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่แบรนด์เปลี่ยนผู้สนใจให้มาเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้ว โดยการเปลี่ยนลูกค้าให้เป็นผู้ช่วยโฆษณาสินค้าของเราต่อไป แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น แบรนด์จะต้องสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าก่อน เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองได้รับการดูแลอย่างดี เพราะเมื่อลูกค้ามีความรู้สึกนี้แล้วก็จะเริ่มบอกต่อสินค้าให้เอง โดยแบรนด์สามารถใช้ตัวอย่าง 3 วิธีในการสร้างความประทับใจ ดังนี้

  • Survey การให้ลูกค้าทำแบบสอบถามหลังการซื้อสินค้าไปแล้วจะช่วยให้แบรนด์ได้ข้อมูลที่ต้องการมากที่สุด เพราะลูกค้าจะให้ข้อมูลทุกอย่างตามที่แบบสอบถามมี
  • After-sales Service หากลูกค้ามีปัญหาหรือข้อสงสัยการใช้สินค้า แต่หาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้ งานบริการหลังการขายจึงเป็นช่องทางที่จะช่วยให้ลูกค้าได้ ด้วยการตอบรับที่รวดเร็วและสามารถเสนอวิธีแก้ไขปัญหา เพราะหากแบรนด์สามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ทัน สิ่งนี้จะช่วยสร้างคะแนนความประทับใจให้ลูกค้าได้มากเลยทีเดียว
  • Social Monitoring Social Media เป็นช่องทางที่จะทำให้แบรนด์ได้รับความคิดเห็นของลูกค้าอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด หรือจะเรียกว่าเป็นช่องทางให้แบรนด์เห็นปัญหาของลูกค้าชัดเจนก็ว่าได้ ซึ่งแบรนด์รับรู้ได้จากการอ่านความคิดเห็นจากโพสต์บนหน้าเพจ และข้อความที่ส่งมาทาง Inbox ของเพจ

สรุปแล้ว Inbound Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาหาแบรนด์ ด้วยหลักการ 3 ข้อ ได้แก่ การดึงดูดลูกค้าให้รู้จักแบรนด์ ต่อด้วยการโน้มน้าวเพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้า และปิดด้วยการสร้างความประทับใจเพื่อให้ลูกค้าเกิดความพอใจ อยากกลับมาซื้อสินค้าของแบรนด์ต่อไป ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่แบรนด์ใช้ต้นทุนน้อย บริหารจัดการง่าย และได้ผลตอบแทนสูง  หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการวางแผนและดำเนินการ สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ กลยุทธ์การทำ Inbound Marketing

แหล่งอ้างอิง

1 2 3

 

อยากทำเว็บไซต์ธุรกิจที่ช่วยสร้างยอดขายได้จริง ปรึกษา WOW ฟรีที่นี่

รับบทความใหม่ ไปอ่านก่อนใครไหม?

ทำธุรกิจออนไลน์ด้วยความรู้อัปเดต เข้าใจง่าย ได้ยอดขายดีจริงๆ กันดีกว่า!

บทความน่าอ่านในหมวดเดียวกัน

inbound-marketing-strategy
Marketing

กลยุทธ์การทำตลาดแบบ Inbound Marketing ทำแล้วลูกค้าเพิ่ม!

ต้องยอมรับว่า Inbound Marketing เป็นการทำตลาดที่ได้รับความนิยมสูง เพราะด้วยวิธีการใช้ที่เน้นไปที่การดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาหาแบรนด์เองผ่านการทำคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งทำได้ง่ายกว่า แถมยังไม่ต้องลงทุนมากหากเทียบกับ Outbound Marketing แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการใช้ Inbound ทุกครั้งจะได้ผล เพราะถ้าแบรนด์ยังไม่รู้จักเคล็ดลับที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพก็อาจจะทำให้แบรนด์ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่หวังเอาไว้ ในบทความนี้ เราจะไปดูกันว่ามีกลยุทธ์อะไรบ้างที่จะมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แบรนด์ทำ Inbound Marketing ได้ กลยุทธ์การทำตลาดแบบ Inbound Marketing 1.รู้ว่าลูกค้าใช้สื่อช่องทางไหน คงไม่ผิดหากบอกว่าการทำ Inbound Marketing

outbound-inbound-marketing-difference
Marketing

เปรียบเทียบความแตกต่าง Outbound กับ Inbound Marketing

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาดที่เคยทำการตลาดด้วยวิธีใดก็ตาม เชื่อว่าต้องเคยทำการตลาดด้วยวิธีที่เรียกว่า Outbound Marketing และ Inbound Marketing มาแล้ว ซึ่งการทำการตลาดทั้งสองวิธีนี้แม้จะมีเป้าหมายเดียวกันคือการทำให้ลูกค้ารู้จักทั้งแบรนด์และสินค้า แต่กลับมีวิธีการที่แตกต่างกันและยังส่งผลถึงลูกค้าไม่เหมือนกันอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะไปดูกันว่า Outbound Marketing และ Inbound Marketing คืออะไร และมีความแตกต่างกันตรงไหน  Outbound Marketing คืออะไร เราจะเริ่มกันที่ Outbound Marketing